วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Make me a German อุปนิสัยขั้นพื้นฐานที่คนส่วนใหญ่ในเยอรมนี







































อุปนิสัยขั้นพื้นฐานที่คนส่วนใหญ่ในเยอรมนี

ระดับหนี้สินต่อครัวเรือนของคนเยอรมันอยู่ในระดับต่ำมากที่สุดในยุโรป ชาวบ้านทั่วไปนิยมใช้จ่ายด้วยเงินสดมากกว่าบัตรเครดิต 

ธนาคารไม่อนุมัติบัตรเครดิตให้กันง่าย ๆ ในขณะที่ชาวเยอรมันก็ไม่ต้องการได้บัตรเครดิตง่าย ๆ เช่นกัน
ทั้งยังสามารถออมเงินได้ 10% ของเงินเดือนแทบทุกคน

ผู้คนส่วนใหญ่มีเงินฝากในธนาคารเป็นกอบเป็นกำทำให้ระบบการหมุนเวียนของเงินกู้กับเงินฝากสมดุลกันได้ดี

คนเยอรมันไม่นิยมเอาบ้านหรือรถยนต์ไปจำนองเพื่อนำเงินมาทำธุรกิจ เพราะถือว่าเป็นความเสี่ยงที่อาจจะสูญเสียทรัพย์สินที่มีอยู่

คนเยอรมันใช้เวลาทำงานต่อสัปดาห์น้อยกว่าคนในชาติอื่น ๆ ทั่วโลก แต่ได้ประสิทธิภาพมากกว่า การทำงานล่วงเวลาถูกมองว่าเป็นสิ่งไม่เหมาะสม เนื่องจากการให้เวลากับครอบครัวหลังเลิกงานถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก 


เวลาแปดชั่วโมงต่อวัน คนเยอรมันทำงานอย่างจริงจังในเวลางาน ไม่เสียเวลาไปกับการพูดคุยเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับงาน อีเมลล์ส่วนตัว Facebook และโทรศัพท์มือถือ ...เป็นที่รู้กันว่าไม่ควรใช้ในชั่วโมงทำงาน

ชีวิตในที่ทำงานที่นี่เขาจริงจังกันมาก ไม่มีการพูดคุย นินทา ไม่อยากรู้อยากเห็นว่าใครเป็นแฟนใคร ใครเลิกกับใคร ใครจะไปออกเดทกับใคร ไม่แม้แต่จะเล่าเรื่องละครทีวีที่ดูเมื่อคืน เลิกงานแล้วจะไปไหน จะไปทานดินเนอร์กับใคร ก็ไม่มีการพูดคุยกัน
 

การมาทำงานสายจะถูกมองว่าเป็นคนไม่รักษาสัญญา จะมาสายสามนาทีหรือสามสิบนาที ก็ถือว่าเป็นคนไม่มีคุณภาพเพราะขาดความเคารพต่อตัวเองและองค์กร

สองในสามของคุณแม่มือใหม่จะไม่ทำงาน นอกบ้าน การบอกว่าเป็น Housewife ในประเทศอื่น ๆ อาจจะรู้สึกเขินอายเหมือนว่าตนเองไม่มีงานทำ แต่ที่นี่มีแต่ความภาคภูมิใจหากจะได้เป็น Housewife

รัฐบาลให้สวัสดิการดีกับคุณแม่ที่ต้องออกจากงาน ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการให้แม่ได้เลี้ยงดูลูกด้วยตนเอง การให้เวลากับลูกถือเป็นสิ่งสำคัญ

ในวันอาทิตย์ ร้านรวงทั่วไปตามแหล่ง Shopping จะปิดเงียบ เพื่อให้ผู้คนส่วนใหญ่มีเวลาอยู่กับครอบครัว เมื่อสถาบันครอบครัวแข็งแรงประเทศชาติก็จะแข็งแรง


 ระดับองค์กร 
ในยามยากของเศรษฐกิจ บริษัทส่วนใหญ่ไม่ใช้วิธีการ Lay off พนักงาน ไม่นิยมการปลดคนงานออกแบบกระทันหัน เพื่อความอยู่รอดของบริษัท

อาจจะเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมองค์กรไปเสียแล้วที่บริษัทจะเป็นห่วงความอยู่รอด ของพนักงานก่อน เพื่อที่จะได้ช่วยกันประคองให้บริษัทอยู่รอด

พนักงานยินดีที่จะถูกลดรายได้อย่างพร้อมเพียงกันเพื่อให้ทุกคนอยู่ได้และบริษัทอยู่รอด

สิ่งนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงการรักพวกพ้อง รักองค์กร และรักชาติในที่สุด


ใช่เลยครับ การใช้ชีวิตแบบพอเพียง ประหยัด จริงจังในหน้าที่ มีระเบียบวินัย ตรงต่อเวลา มีความรับผิดชอบสูง รักครอบครัว รักพวกพ้อง รักชาติ

เหล่านี้ล้วนเป็นอุปนิสัยขั้นพื้นฐานที่คนส่วนใหญ่ในเยอรมนีได้ปฏิบัติสืบ ต่อกันมา โดยไม่จำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ใหม่ ๆ อะไรที่แปลกแหวกแนวมากระตุ้นเศรษฐกิจให้เฟื่องฟูอย่างที่ประเทศอื่น ๆ ชอบทำกัน



  
Credit : บุญชัย ปัณฑุรอัมพร - CEO Blogs กรุงเทพธุรกิจ

วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สังคมรากเน่า



http://www.thaipost.net/news/210814/95011






อืมมมม....ผมก็นึกว่า "โรคอีโบลา" จากแอฟริกาจะ
ระบาด แต่ที่ไหนได้ โรค "ไอ้อีบ้า" จากสหรัฐอเมริกากลับระบาดเข้ามาในเมืองไทย รุนแรง-รวดเร็วกว่า ชนิดที่ต้องพูดว่า.....
    "ไม่ทันข้ามคืน" พวกอีลิตและดัดจริตไร้รากทั้งหลาย ถูกโรคไอ้อีบ้าระบาดใส่จน "กล้ามเนื้อสมองอ่อน" บ้าใบ้ไร้สติพินิจไปตามๆ กัน ถึงขั้นถ่ายคลิปโชว์ ใช้น้ำแข็งราดหัว
    เพื่อ "ช็อกระบบประสาท" ตัวเอง!
    ก็หวังว่า "กระทรวงสาธารณสุข" ของคุณหมอณรงค์ สหเมธาพัฒน์ จะสกัดอยู่ ก่อนที่จะระบาดลุกลามสู่สังคมไร้รากทั่วประเทศ เพราะอะไรที่ไร้สาระ คนไทยถนัดเลียนแบบโดยไม่รีรออยู่แล้ว อยากทำบุญ อยากสงเคราะห์สังคม มีเงิน-มีทองพอเจียดเจือจานกันได้ ก็ทำไป ไม่เห็นจำเป็นต้องมาสร้างรูปแบบเลอะๆ เทอะๆ
    ฝรั่งเขาทำ นั่นก็เรื่องของพวกเขา-สังคมเขา....! พวกเรา-สังคมเรา ก็หัดคิด-หัดสร้างเป็นต้นแบบที่ดีงาม ให้คนอื่นหรือไทยเราเองได้เลียนแบบ-ทำตามกันบ้าง จะไม่ดีกว่าหรือ?
    แค่การเอาน้ำแข็งราดหัว แล้วประกาศบริจาคเงินให้โน่น-ให้นี่ ถามตรงๆ...มีกุศลจิตสงเคราะห์ หรือต้องการโชว์คลิปอีโก้ "น้ำแข็งราดหัว" ด้วยนึกว่าเท่ ว่าเก๋ทันสมัย ฝรั่งมันทำอะไร คนไทยเลียตูดได้ตามกลิ่นตดติดๆ?
    ลักษณะนี้มันสะท้อนถึงซูเปอร์ซับคอนเชียสของมนุษย์ "ทาสวัตถุทุน" พวกนี้อย่างหนึ่งว่า....ภายใต้จิตเบื้องลึกหรือที่เรียกว่า "จิตแอบ" ซึ่งมันฝังอยู่ในการกระทำทุกอย่าง อะไรที่ "ไม่ได้สิ่งตอบแทน" มนุษย์พวกนี้จะไม่ทำ...

 

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ทำไม "ฟินแลนด์" ถึงเป็นที่หนึ่งเรื่องการศึกษา



































 มาดูกันครับว่าทำไม "ฟินแลนด์" ประเทศที่มีประชากรเท่ากับประชากรในกรุงเทพฯของเรา ถึงเป็นที่หนึ่งเรื่องการศึกษา

1.เขาเริ่มให้เด็กเรียนอย่างจริงจังช้า
จะเริ่มเรียน Pre-School ก็ตอนนู้นอายุได้ 6 ขวบ เนื่องจากเขาต้องการให้เด็กได้อยู่กับครอบครัวมากกว่า เพราะเป็นสถาบันที่ให้ทั้งความรักและความรู้ได้ดีกว่าโรงเรียนอนุบาล

2.ในระดับประถมเด็กจะเรียนไม่เกินวันละ 5 ชม.
เพื่อให้เด็กได้มีเวลาไปทำในกิจกรรมอื่นๆที่ตัวเองชอบบ้าง

3.ห้องเรียนเขาจะกำหนดให้มีเด็กห้องละไม่เกิน 20 คน
เนื่องจากทุกคนต้องการการเอาใจใส่และพัฒนาไม่เหมือนกัน

4.ไม่มีระบบเกรดเฉลี่ย
เพราะเกรดเฉลี่ยจะเป็นตัวสร้างความภูมิใจ หรือ อับอายให้เด็ก
เขามองว่าการเรียนคือการพัฒนาแต่ละคน ไม่ใช่การแข่งขัน

5.จ้างผู้อำนวยการมาบริหารโรงเรียน
โดยให้กรรมการโรงเรียนดูแล ผลงานไม่ดีก็เชิญออกได้
เพื่อป้องกันการใช้เส้นสายและไม่ตกอยู่ในอำนาจของใคร

6.อาชีพครูเป็นยาก แต่เงินเดือนดีพอๆกับหมอ
เขามองว่าอาชีพครูเป็นอาชีพที่มีคุณค่า มีสถานะทางสังคมดี คนที่เก่งที่สุดจะแข่งกันเป็นครู ครูทุกคนจะต้องจบการศึกษาด้านครูในระดับปริญญาโท

ไม่ได้บอกว่าของเขาดี ของเราไม่ดี แล้วต้องเอาอย่างเขาทั้งหมดนะครับ
แต่เขาก็เป็นตัวอย่างที่ดี หากเราจะนำบางเรื่องมาปรับหรือต่อยอดการปฏิรูปการศึกษาในบ้านเราให้ดียิ่งขึ้นครับ



งานที่มีประโยชน์มากที่สุด




วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2557

กินยังไงไม่ให้อ้วน กับ 5 พฤติกรรมที่คุณต้องลองทำ




ลด ละ เลิก sex joy youth success




























                สังคมบริโภคนิยมดำเนินไปบนฐานความเชื่อว่าชีวิตนี้คือการเสพสุขมี ๔ ประการที่บริโภคนิยมเชิดชูคือ เซ็กซ์ ความสนุกสนาน ความเป็นหนุ่มสาว และความสำเร็จ (sex, joy, youth, success) ลองสังเกตโฆษณาในทีวีจะเห็นว่าเขาเน้น ๔ ประการนี้อยู่เสมอ ทำให้ผู้คนเกิดความเข้าใจว่าทั้ง ๔ อย่างนี้คือจุดหมายของชีวิตนี้ คนในสังคมบริโภคนิยม จึงตั้งหน้าตั้งตาแสวงหา ๔ อย่างนี้ จนลืมไปหมดเลยว่าเราต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย
               ถ้าเราคิดขึ้นมาได้ว่าสักวันหนึ่งเราต้องตายนะ เราจะคลั่งไคล้กับการเสพน้อยลง เราจะตระหนักว่าทั้ง ๔ ประการนี้เป็นของชั่วคราว ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ เราจะหันมาอยู่อย่างเรียบง่ายมากขึ้น หันมาสร้างบุญกุศลทำความดี ช่วยเหลือคนอื่น และเตรียมตัวเตรียมใจเพื่อพร้อมรับความตายที่จะมาถึง

พระไพศาล วิสาโล